ถ้าหัวใจเราเชื่อว่าเราทำได้ .. เราจะทำมันได้
คำว่า “วิ่งมาราธอน” ไม่อยู่ในหัวมาพักใหญ่แล้ว
ตั้งแต่ช้ำชอกดราม่าหมดสิ้นทุกอย่างจากพัทยามาราธอนที่ผ่านมา
ร่างกายเริ่มบอบช้ำมาจากครั้งนั้น และงานวิ่งสุดท้ายที่ออกไปซ่า
คืองานวิ่งวันแม่ที่จัดโดยศูนย์สิริกิติ์ เพียงสองสัปดาห์หลังฟูลมาราธอน
และงานนั้นเป็นฮาล์ฟมาราธอนที่จัดเต็มมาก วิ่งจนได้ new PB (เอ๊ะ..ฉันลืมมาเขียนเม้าท์ได้ยังไง?) ด้วยความที่ใส่เต็มแต่ยังไม่ฟื้นฟูร่างกายไม่เต็มที่จากฟูลมาราธอน
หลังงานนั้นฉันก็เจ็บยาว
การบาดเจ็บครั้งนี้ เป็นการบาดเจ็บแบบ
“ไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ”
อธิบายไม่ถูกว่าบาดเจ็บอะไรเพราะไม่ไปหาหมอเลยไม่มีนิยาม รู้เพียงว่าปวดตูด เจ็บข้างเข่า
เรียกว่าเจ็บจนใช้ชีวิตลำบากเลยน่าจะดีกว่า อย่าพูดถึงคำว่าวิ่ง
เพราะแค่จะนั่งหรือเดินยังทำได้ลำบาก บวกกับชีวิตที่อยู่ดีๆมันก็วุ่นวายต้องเดินทางอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้
จึงทำให้ฉันตัดสินใจหันหลังให้สนามวิ่ง เลิกวิ่ง และหมดใจไปโดยปริยาย
สามเดือนที่พักรักษาตัวเอง (จริงๆคือขี้เกียจ
กินๆนอนๆมันก็สนุกดี)
จนเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาอยู่ดีๆไออาการบาดเจ็บมันก็หายไปเฉยๆของมันเอง
หายสนิทซะจนตกใจแต่ก็ยังไม่ไว้ใจ เริ่มลองพาตัวเองกลับไปทดสอบสภาพที่สวนลุม
จากวันละ 5 กม. เพิ่มเป็น 7.5 กม. และสุดท้ายฉันก็กลับมาทำได้ที่ 10 กม. และ 15.
กม. ดีใจแต่ยังไม่ตายใจ พร่ำบอกตัวเอง และบอกทุกคนที่มาคุยด้วยเสมอว่า
“ฉันจะไม่กลับไปเจ็บอีกแล้ว เข็ดขยาดมาก ฉันจะวิ่งน้อยๆสวยๆ เพื่อสุขภาพเท่านั้น”
เบ็ดเสร็จสรุปได้ว่า ก่อนมาราธอนครั้งนี้ฉันไม่ได้วิ่งเลยเป็นเวลา 3 เดือนและกลับมาวิ่งได้แค่
5 ครั้งเท่านั้น
แค่เห็นป้ายใจก็เต้นรัว |
จอมบึงมาราธอนหายไปจากความคิดนานแล้ว แม้เพื่อนๆจะคอยชวนอยู่ตลอดเวลาว่าไปวิ่งเล่นน้อยโลขำๆก็ได้
ไปกินๆนอนๆเที่ยวเล่นกันก็ได้ก็ไร้ความหมาย จุดประกายไม่ขึ้น และยิ่งเมื่อได้รู้ว่าตัวเองติดงานหลวงกับที่บ้านในวันนั้นพอดี
ยิ่งทำให้ไม่ได้คิดอีกเลยว่าจะไป
สี่วันก่อนถึงจอมบึงมาราธอน..ระหว่างที่เพื่อนๆวุ่นวายกับการหาที่พักกันสนุกสนาน
ฉันหันหน้าไปหาแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วพูดว่า “แม่หนูอยากไปวิ่งจอมบึง” แม่บอกว่า
“อยากไปก็ไป” จุดเริ่มต้นของเรื่องจึงเริ่มมาจากตรงนี้
สีสันลูกโป่ง pacer |
ด้วยอะไรไม่รู้รู้สึกอยากวิ่งมาราธอนมาก พอหลุดปากเท่านั้นแหละ
เพื่อนที่รักที่บ้าพอๆกันก็ไม่รอช้าจัดแจงหา bib ให้เสร็จสรรพ
ใจนึงก็ตื่นเต้นมาก แต่อีกใจก็มีคำถามกับตัวเองตลอดเวลาว่า “มึงบ้ารึเปล่า
กำลังจะทำอะไร และมึงทำไปทำไม” นั่นสิ
.. ทำไปทำไม นั่งถามตัวเองวนไปวนมา ดูเหมือนจะมีคำตอบเยอะนะ บางแว่บก็คิดว่าทำ..เพราะอยากกลับมาเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง
ทำ..เพราะอยากประชดให้โลกรู้ว่ากูเจ๋ง
ทำ..เพราะอยากอยู่กับตัวเองเพื่อจะหาคำตอบให้อะไรบางอย่าง
แต่ท้ายที่สุดแล้วเหนือคำตอบอื่นใด .. ตอบตัวเองได้ว่า “อยากวิ่ง
วิ่งเพราะอยากวิ่ง มันรู้สึกอย่างวิ่ง และฉันจะวิ่ง” อีกอย่าง
ฉันไม่ได้เขียนเม้าท์อะไรนานแล้ว
กลัวแฟนคลับจะหายเลยคิดว่าคงจะดีถ้าได้มีอะไรมาเล่าบ้าง!
..รู้ว่าไม่พร้อม รู้ว่าเสี่ยง แต่ไม่คาดหวังอะไรเลย อยากวิ่ง และจะขอวิ่งแค่จบ
จะใช้เวลาเท่าไหร่ไม่สนใจ แต่สัญญากับตัวเองและคนที่ห่วงว่า จะไม่ทรมาน
ถ้าเจ็บจะหยุด ถ้าไม่ไหวจะจบทันที งานนี้จะไม่มีดราม่าเดินร้องไห้นะจ๊ะ
หลังจากตัดสินใจแล้วว่าวิ่งแน่
ก็ไม่ทำอะไรนอกจากนอยและกินกับนอน ในเมื่อมันไม่เคยซ้อม
มันไม่ได้วิ่งมาตั้งสามเดือน มันจะไปทำอะไรได้ทันภายในสามวัน ปลอบใจตัวเองว่าถึงขั้นนี้แล้ว
สะสมพลังงานและรักษาร่างกายไว้ให้ดีที่สุดจนวันอาทิตย์จะดีกว่า สารภาพเลย
หลังจากตัดสินใจไปแล้วนี่ป๊อดมากแต่แอบเก็บเงียบทำตัวเนียนๆ
ถึงกับต้องข่มสติตัวเองด้วยการไปนั่งหาคำคมให้กำลังใจตัวเองอ่าน
และนั่งสะกดจิตตัวเองว่า “เธอทำได้ เธอทำได้” อยู่ตลอดเวลา และร่างกายคนเราก็แปลกนะ
ตอนที่ยังไม่คิดมีแผนการอะไรนี่สบายดีมาก แต่พอตัดสินใจจะทำการใหญ่เท่านั้นแหละ คุณเอ๊ย..อาการจี๊ดๆที่เข่าเริ่มมา
ตูดที่หายตึงไปนานก็กลับมาตึงๆหน่วงๆ และไฮไลท์ที่สุดก็คือ
การตื่นมาด้วยอาการตกหมอนปวดร้าวทั้งคอในเช้าวันเสาร์!
จัดกระเป๋าแบบงงๆปนตื่นเต้นเพราะไม่ได้เดินทางเพื่อไปวิ่งมาพักใหญ่มากแล้ว
คืนก่อนวิ่งต้องเตรียมตัวยังไงอะไรควรไม่ควรก็ลืมไปหมดแล้วจริงๆ
ยังคงเริงร่าตลอดการเดินทาง
ตอนไปรับเบอร์แอบตื่นเต้นนิดนึงแต่ก็บอกตัวเองว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว
เธอไม่เคยป๊อดนี่ ไหนชอบโม้ว่าตัวเองเจ๋งนักไง .. กอดแม่ก่อนออกจากบ้าน แม่พูดว่า
“วิ่งให้จบนะ ถ้าไม่ไหวก็พอไม่ต้องเดินร้องไห้”
ตื่นตี 2 ออกจากที่พักตี 3 สบายใจคิดว่าเวลาล้นเหลือเพราะปล่อยตัวตั้งตีสี่
แต่.. วิ่งกับอีบิ๋มจะไม่มีเรื่องดราม่าให้ตื่นเต้นคงไม่ได้
อย่าคิดว่าเราจะได้วิ่งง่ายๆเพราะชีวิตมันขาดเรื่องเสียวคงไม่สนุก ตี 3.30
ก็แล้วทำไมยังไม่ถึงสนาม เพิ่งเอะใจได้ว่าอ้าว..หลงทางนี่หว่า กว่าจะกลับตัว
เหยียบมิดไมล์ก็ไปถึงสนามเพียงแค่ 5 นาทีก่อนปล่อยตัว จากที่พลขับจะได้คะแนนเต็มที่อุตส่าห์ขับให้
กลับกลายเป็นว่าโดนหักคะแนนค่าทำให้เสียวไปตามระเบียบนะจ๊ะ
ก่อนปล่อยตัวกับเจ้โอ๋สุดยอดพี่สาว |
ที่จุดปล่อยตัวนักวิ่งมากมาย
ทุกคนดูมีพลังมากเลยพลอยทำให้เพลินไปกับบรรยากาศจนลืมความตื่นเต้นไป
พอสัญญาณปล่อยตัวดัง ได้เวลาเรียกสติกับตัวเอง บอกตัวเองว่าทำให้ดีที่สุด
“เธอทำได้” แล้วค่อยๆออกตัววิ่งไปตามจังหวะของโป๊งชึ่งของตัวเอง
วิ่งไปได้ไม่นานเท่าไหร่
ด้วยความที่อากาศเย็นทำให้รู้สึกปวดฉี่ตลอดเวลา
ปกติไปวิ่งงานไหนๆแทบจะไม่เคยมีปัญหากับห้องน้ำ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับครั้งนี้
ร่างกายร่ำร้องหาห้องน้ำแทบจะทุก 2 กิโล ทำข้อตกลงกับตัวเองว่า โอเค ปวดก็จะเข้า
อุ้มฉี่วิ่งไปน่าจะทำให้แย่กว่าเดิมนะจ๊ะ
และการแวะเข้าห้องน้ำมันก็คงไม่ได้ทำให้วิ่งช้าลงไปสักเท่าไหร่
เบ็ดเสร็จงานนี้เลยจัดไปสี่สต๊อปค่ะ ขอขอบคุณทุกท่านผู้มีอุปการะคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ
ทั้งคุณพี่นักวิ่งที่งงๆกำลังจะขึ้นรถไปจุดปล่อยตัวแต่ต้องเปิดห้องพักให้เราเข้าไปแวะ
และคุณป้าน้าอาชาวจอมบึงทั้งหลาย
กลุ่มเพื่อนที่วิ่งด้วยกันเริ่มแตกตัวไปตั้งแต่ประมาณกิโลที่
3 วิ่งอยู่กับตัวเองมาเรื่อยๆจนถึงกิโลกที่ 10
เป็นครั้งแรกที่เริ่มเช็คสภาพร่างกายตัวเอง ยังอยู่ปกติดี
รู้สึกเจ็บเข่าขวาเจ้าปัญหานิดๆแต่พยายามลืมมันไปก็ยังได้อยู่ วิ่งไปจนถึงกิโลที่
15 อยู่ดีๆจิตก็สั่งตัวเองขึ้นมาว่า นี่มันถึงระยะที่วิ่งเยอะที่สุดในรอบสามเดือนแล้วนะ
หลังจากนี้วัดใจแล้วเธอเอ๋ย แต่แล้วก็พยายามหลอกตัวเองด้วยการลืมๆมันไปนะ
แบบว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนะเธอ
มองการ์มินที่ยืมมา (เห็นไหมไม่วิ่งนานขนาดการ์มินยังไม่มีเป็นของตัวเองแล้ว)
เวลายังสวยงามนี่หว่า น่าจะได้ระยะครึ่งทางที่ 2.45 ชม. ทำการบวกลบคูณหารอยู่ในใจ
เอ้ย ถ้าหล่อนทำตัวดีแบบนี้ไปเรื่อยก็จบห้าชั่วโมงนิดๆสวยงามชิปเป๋งเลย พอถึง
กม.ที่ 19 มีคณะกองเชียร์ยิ่งใหญ่อลังการ คุณป้าคนสวยพูดเสียงดังใส่ไมค์คอยตอนรับนักวิ่งที่วิ่งผ่าน
พร้อมบอกว่าจากจุดนี้ไปอีก 5 กม.
ก็จะเจอจุดกลับตัวแล้วเราก็จะกลับมาเจอกันอีกครั้งนะคะ ตอนนั้นในใจคิด ป้าหลอกกู
นี่กิโลที่ 19 ละอีก 2 กิโลก็กลับตัวละ ป้ามั่วว่ะ .. และแล้ว ทำไมล่ะทำไม 21
กม.กว่าแล้วนะแต่ทำไมมองไปนั่งวิ่งยังวิ่งเป็นทางตรงไกลสุดลูกหูลูกตา
ตอนนั้นจึงเกิดอาการท้อขึ้นมาเบาๆ
แต่เมื่อไหร่ที่คุณท้อ พระเจ้าจะส่งพลังมาให้คุณทุกครั้ง
สิ่งที่ดีที่สุดบนทุกสนามวิ่งคือกำลังใจที่ได้จากนักวิ่งที่วิ่งสวนทางมา
และยิ่งถ้าคุณรู้จักคนเยอะเป็นคนในวงการแล้วล่ะก็ ทักกันมันส์
วิ่งแปะมือกันมันส์ลืมเหนื่อยเลยล่ะจ่ะ
แม้บางคนเราจะไม่รู้จักกัน แต่การมองหน้าแล้วยิ้ม
หรือแม้กระทั่งพยักหน้าเป็นอันเข้าใจว่า “กูรู้มึงเหนื่อย
กูก็เหนื่อยเราสู้ๆกันนะจ๊ะ” ก็ให้ความหมายที่ยิ่งใหญ่มากมาย
ขอบคุณทุกคนที่แวะทักทายแวะให้กำลังใจมา ณ จุดนี้นะคะ
เพราะพวกคุณจึงทำให้ฉันมีแรงฮึดขึ้นเยอะ
หนุ่มเซอร์วิสกาย นายหล่อมาก! |
ก่อนถึงจุดกลับตัวสามารถวิ่งแซงกลุ่ม pacer 5.30 มาได้ รู้สึกอิ่มเอมใจมากจึงตั้งใจว่าจากนี้ไม่ว่าอะไรก็ตาม
หล่อนห้ามให้เขาแซงคืน ถ้าอยู่หน้าเค้าได้ตลอดจากนี้ งานนี้เธอจบสวยแน่ เจอเจ้โอ๋ที่พลัดพรากกันไปใกล้ๆจุดกับตัว
ไม่ได้คุยอะไรกันพยักหน้าให้กันก็ใจชื้นขึ้นเยอะ
พอกลับตัวเริ่มมองหาหนุ่มเซอร์วิสแมนที่นัดแนะกันไว้
พอสายตามองไปเห็นรีบกวักเรียกแทบไม่ทัน พร้อมตะโกนไปสเปรย์ สเปรย์
พ่อหนุ่มก็ไม่รอช้าอัดฉีดมาให้เต็มขาทั้งสองข้าง และโบกมือบ๊ายบายกันไป
ณ กิโลที่ 30 ตะโกนบอกตัวเองในใจ “เธอทำได้ว่ะ
ขอบคุณนะเข่าที่เธอไม่งอแงเลย” เพราะที่สนามพัทยา ฉันหมดสิ้นทุกอย่างที่กม.ที่ 30 พอถึง
กม.ที่ 33 พี่หนึ่งปั่นกลับมาหาอีกครั้ง เลยขอสเปรย์อีกรอบพร้อมขอเจลเพิ่มอีกซอง ณ
กิโลที่ 35 ถึงกับกำมือแล้วร้อง “มันต้องอย่างนี้สิวะ” ออกมาดังๆ ตอนนั้นบอกตัวเองว่าหยุดไม่ได้แล้ว
หลังจากนี้มันคือช่วงเวลาวัดใจที่สุด ถามว่าตอนนั้นสภาพร่างกายเป็นยังไง? ณ
ตอนนั้นเจ็บระบมปนแสบฝ่าเท้าซ้ายมาก ปวดสะโพกขวามากและเข่าขวาเริ่มไม่เป็นใจแล้ว แต่ยังใจยังคงบอกตัวเองตลอดเวลาว่า
“เธอทำได้” มาไกลขนาดนี้แล้ว ตั้งแต่กม.นี้เป็นต้นไป
เริ่มวิ่งโดยใช้ขาซ้ายมากกว่าขาขวา พยายามใช้เข่าขวาให้น้อยที่สุด
จนเริ่มรู้สึกว่าดีขึ้นค่อยสลับกลับไปวิ่งให้น้ำหนักลงสองข้างเท่าเดิม
และวนทำอยู่แบบนี้จนจบ
คณะทรมานบันเทิง |
ณ กม.ที่ 38 เริ่มหมดแรงและกำลังจะแย่ อีกแค่ 4
โลที่มันดูยาวไกลมาก สิ่งที่ทำตอนนั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการทะเลาะกับตัวเอง
ตั้งคำถามกับตัวเองเธอมาทำอะไรที่นี่ เธอมาเพราะเธออยากวิ่ง .. ถ้างั้นก็วิ่ง
เคยมีคนบอกว่าในการวิ่งมาราธอน จะมีห้วงเวลานึงที่เราเหมือนลอยได้และหลุดไปอีกโลก
ฉันว่าคงจะเป็นตอนนี้เองที่ได้เจอมัน ฉันไม่ได้ยินเสียงอะไรรอบตัวเลย มองไปข้างหน้านักวิ่งคนอื่นหนีไปวิ่งหลบแดดที่ไหล่ทางด้านขวากันหมด
แต่ฉันไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางตัวเองเพราะจะเสียจังหวะ
จึงวิ่งตากแดดบนไหล่ทางซ้ายไปคนเดียวอย่างนั้น ถามว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ ..
ไม่คิดเลย หัวว่างเปล่า ในใจมีแต่ตัวเลขนับก้าวของตัวเองไปเรื่อยๆ 1 2 3 4.. 5 6 7
8 แล้ววนกลับมาที่ 1 ใหม่ กม. 39 แล้วว่ะ กม. 40 แล้วว่ะ .. บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้านะ พูดคนเดียว ยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียว ขยับนิ้วมือนับเลขไปมาคนเดียว
ที่กม.ที่ 41 กับ 1 กม.สุดท้ายที่เหลือ
หัวเราะและยิ้มให้กับตัวเอง เรียกสติตัวเองออกมาจากห้วงภวังค์ มันเป็นกิโลเมตรสุดท้ายที่มีค่ามากที่สุด
ขอบคุณตัวเอง ขอบคุณหัวใจตัวเองที่บ้าและยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มันกำลังจะจบแล้ว
สูดหายใจลึกๆแล้วเอาพลังทั้งหมดของตัวเองที่เหลืออยู่ใส่ลงไปให้เต็มที่
อีกนิดเดียวและเธอจะได้ตะโกนได้เต็มที่แล้วนะว่า “กูทำได้”
ใจอยากเร่ง
อยากสปริ๊นท์ตั้งแต่เข้ากม.สุดท้ายแต่ยังไม่ไว้ใจสภาพร่างกายตัวเอง ที่ 500
เมตรสุดท้ายก็ยังป๊อดไม่มั่นใจ เพราะจะไม่กลับไปเจ็บอีกแล้ว
มานึกย้อนตอนนี้ก็เสียดายนะ ถ้าใส่ไปตั้งแต่ตอนนั้น เวลาก็จะดีกว่านี้
นาที ณ เส้นชัย |
ที่ 200 เมตรสุดท้าย วิ่งสุดแรงเกิดเท่าที่จะทำได้ ณ
ตอนนั้น หันไปเจอปอ พี่หนึ่ง พี่เบียร์ตะโกนเชียร์ดีใจมาก
นาทีที่เส้นชัยครั้งนี้มีความหมายและหัวใจพองโตที่สุดตั้งแต่วิ่ง 42.195 กม.
จบลงที่ 5.22 ชม. (ตามเวลาการ์มิน) หรือ 5.24 ชม. ตามเวลาทางการ 42.195
ที่ใช้หัวใจล้วนๆในการวิ่ง 42.195 ที่สำเร็จเพราะเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ 42.195
ที่ยิ่งใหญ่และมีค่ามากที่สุดของฉัน
มาราธอนครั้งนี้ สอนให้รู้ว่า “ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้
ถ้าใจฉันเชื่อว่าฉันทำได้” ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนสนับสนุนในความบ้าครั้งนี้
ขอบคุณเจ้โอ๋ สุดยอดพี่สาวที่จัดการเรื่องเบอร์และพลัดกันให้กำลังใจ ขอบคุณปอ
เพื่อนที่ไม่เคยห้ามแต่พร้อมสนับสนุนเรื่องบ้าๆตลอดเวลา ขอบคุณพี่หนึ่ง
งานนี้พี่หล่อมากที่คอยดูแลเช็คสภาพตลอด ขอบคุณพี่ตั้ม พี่เบียร์ น้องแอ๊นท์ที่ทำให้การมาวิ่งครั้งนี้สนุกมาก ขอบคุณทุกกำลังใจจากทุกคนที่เชื่อว่าฉันจะทำได้ ที่สำคัญขอบคุณผู้สนับสนุนรองเท้าที่ทำให้อยากหยิบมันออกไปวิ่งในทุกวันและพิชิตมาราธอนกับมันสักครั้งเพราะรู้ว่าคุณอยู่ด้วยกันในทุกๆก้าว
อีกเรื่องที่ได้เรียนรู้คือ
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลองกินเจลเพิ่มพลังทุก 7 หรือ 8 กม.
ปกติก่อนหน้านี้ฉันจะกินทุกๆ 10 กม. แต่ครั้งนี้ลองใช้หลักการใหม่กับตัวเอง
และได้ค้นพบว่า ที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ ฉันพลาดสินะ การกินเจลทุก 8
โลมันทำให้ร่างกายเรามีพลังต่อเนื่องพอดิบพอดี ไม่หมดไปเสียก่อนจนตามไม่ทัน
ดังนั้นจากนี้ไป จำไว้นะจ๊ะ เธอมีแรงอึดเท่านี้ที่ 8 กิโล
ที่มานั่งเม้าท์มานั่งอวดว่าวิ่งมาราธอนได้แบบฟินๆโดยไม่ซ้อมนี่ไม่ได้เป็นการสนับสนุน
หรือยุให้ใครทำตามไม่อยากให้เข้าใจผิดกัน ฉันอาจจะทำได้ทั้งๆที่ไม่ได้ซ้อมเลย
แต่อย่าลืมว่าฉันมีบุญเก่าซะสมอยู่มากทีเดียว แม้จะมีคนบอกว่า การวิ่งมาราธอน
ไม่เกี่ยวกับบุญหรือกรรมเก่าที่มี แต่ฉันว่ามันก็ไม่ซะทีเดียวนะ
แม้ร่างกายเราจะไม่ฟิต แต่กล้ามเนื้อของเราก็เคยผ่านการเทรนมาอย่างต่อเนื่อง
ฉันผ่านมาแล้ว 2 มาราธอน ฉันวิ่งวันละ 7.5 ถึง 10 กม. เป็นประจำ ดังนั้น
อย่าหลงเข้าใจผิด ว่าถ้าคุณไม่เคยแม้แต่วิ่งเลย คุณก็น่าจะทำได้เหมือนกัน
ท้ายที่สุดแต่ยังไม่สุดท้าย ก็ได้อีกหนึ่งคำตอบสำหรับคำถามที่หลายคนชอบถามว่า
“ควรวิ่งมาราธอนตอนไหน แบบไหนที่เรียกว่าพร้อมไปมาราธอนแล้ว” หลังจากผ่านมาสามมาราธอน
กับการทดสอบด้วยตัวเองได้คำตอบแล้วว่า “วิ่งตอนที่ใจอยากวิ่ง” แล้วคุณจะมีความสุขที่สุด..จริงๆนะ
อ้อ .. ถ้าถามว่าสภาพร่างกายหลังการวิ่งครั้งนี้เป็นอย่างไร .. สบายดีมากค่ะ ปวดเมื่อยพอให้เป็นเพนกวิน แต่ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆเลย สบายยย อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยคุณเอ๊ย
อ้อ .. ถ้าถามว่าสภาพร่างกายหลังการวิ่งครั้งนี้เป็นอย่างไร .. สบายดีมากค่ะ ปวดเมื่อยพอให้เป็นเพนกวิน แต่ไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆเลย สบายยย อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยคุณเอ๊ย
I CAN and I DID |
การวิ่งครั้งนี้ทำให้รู้ว่าความสุขของฉันอยู่ที่ไหน
ฉันยังรักการวิ่ง ฉันยังมีความสุขกับการวิ่ง จบงานนี้ก็ยังคิดจะวิ่งต่อไปนะ เพราะมีความมุ่งมั่นแล้วว่า
จะวิ่งต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีผู้ชายมารอที่เส้นชัยมาราธอน ถ้าปาเข้าไป 60
แล้วยังไม่มีคุณมารอที่เส้นชัย ฉันก็จะยังคงเป็นคุณยายที่ซ่าอยู่ในสนามมาราธอน :)
สวยกลับมาแล้ว ^_^
ReplyDeleteแฮ่ ... ยังไม่กล้าซ่าค่ะ เข็ดขยาดดดดด
Deleteแอบตามอ่านมาเป็นพัก ๆ แล้ว ยินดีด้วยครับกับ 42 โลที่จบและไม่เจ็บ เข้าใจความรู้สึกนี้เหมือนกัน เพราะว่าจบกับสนามจอมบึงระยะ half โดยที่ไม่หยุดเดินเลยและวิ่งครึ่งหลังได้เร็วกว่าครึ่งแรก
ReplyDeleteขอบคุณนะคะ สนามนี้ทุกอย่างเป็นใจจริงๆเนอะ :)
Deleteตามอ่านจนครบทุกตอนแล้ว
ReplyDeleteชอบความเป็นดราม่าควีนครับ อ่านแล้วสนุก และได้แรงบันดาลใจด้วย
เขียนออกมาอีกเรื่อยๆๆ นะครับ .. จะรออ่านครับ
สุดยอดครับ จบแบบไม่เจ็บก็เป็นรางวัลชีวิตแล้วครับ
ReplyDeleteThis comment has been removed by the author.
ReplyDeleteสวัสดีครับ ผมคนที่ทักตอนก่อนขึ้นสะพานพระราม 8 กรุงเทพมาราธอน 2015นะครับ ผมอ่านบล๊อคนี้ตอนเริ่มวิ่งใหม่ๆ และเป็นหนึ่งแรงบันดาลใจให้ผมตั้งใจที่จะจบมาราธอนให้ได้ครับ...
ReplyDeleteวันนั้นผมจบฟูลครับ เจ็บตั้งแต่กิโลที่ 14 .......
สวัสดีค่ะ .. ขอบคุณที่ทักทายกันวันนั้นนะคะ รู้สึกซึ้งใจมากที่เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้คุณมาวิ่ง ดีใจด้วยกับมาราธอนแรก จากนี้ก็พักให้หายดีนะคะ บิ๋มเชื่อว่าเดี่ยวต้องมีมาราะอนที่ 2 3 4 ตามมาอีกแน่ๆ
Deleteวันนั้นบิ๋มวิ่งไม่จบค่ะ ได้แค่ 37 กิโล ตะคริวขึ้นตั้งแต่กิโลที่ 30 ประคองมาได้เท่านี้ สุ้ไม่ไหวค่ะ กลัวเจ็บยาวอีก :)
ขอบคุณครับ มันเป็นประสพการณ์ที่ดีมากๆ พักรักษาตัวด้วยเช่นกันนะครับ :)
DeletePlaytech Casinos | Dr.MD
ReplyDeleteThe most comprehensive list of 군산 출장마사지 all casino games. List of all casino software providers 상주 출장샵 · Microgaming; 인천광역 출장샵 NetEnt; Playtech; Evolution 남양주 출장샵 Gaming. 제주 출장안마 · Microgaming; Playtech.