Tuesday, July 8, 2014

[Review] New Balance Minimus 10v2 Glow in the dark Ep.1



ห่างหายจากการรีวิวรองเท้าไปนานมาก เพราะเป็นคนเลือกมาก เรื่องมาก ที่สำคัญงก! จึงต้องมองหาคู่เท้าที่ถูกใจจริงๆจึงจะยอมไปสู่ขอมาอยู่ด้วยกัน นับจากครั้งสุดท้ายที่ซื้อรองเท้าวิ่ง พี่พิ้งค์กี้ Mizuno Wave Spacer AR4 ก็ 1 ปีมาแล้ว จากที่ใส่พี่เค้าเฉพาะเวลาลงสนาม ไปๆมาๆกลายเป็นว่าใส่ทุกวัน ทุกครั้งที่วิ่งเพราะติดใจในความเบา และความรู้สึก “ใช่” ที่เกิดขึ้น
 
เมื่อได้ลองรองเท้าที่เบา และ minimal ไม่ต้องช่วยซัพพอร์ทอะไรมากมายแล้วติดใจ จึงทำให้ตั้งใจว่า หากจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่มันจะต้องทำให้วิ่งสนุกได้อย่างเจ้าคู่นี้ จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอที่ถูกใจ ไอที่เล็งที่ชอบเมืองไทยก็ไม่มี ต้องลำบากไหว้วานคนเดินทางให้หามาให้ ก็ไม่ใช่นิสัยของฉัน เลยทำให้ใส่รองเท้าคู่เดิมมาจนเริ่มรู้สึกได้ถึกความสึกกร่อนของพื้นรองเท้า

แล้วทำไมจึงมาเป็นตระกูล Minimus ของ New Balance?
จริงๆเล็ง Minimus มาตั้งแต่เพิ่งหัดวิ่งแล้ว แต่ด้วยตอนนั้นยามที่วิ่งใหม่ๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเองดี จึงเป็นปกติของคนทั่วไปที่มักจะมองหารองเท้าที่ซัพพอร์ทไว้ก่อน อะไรไม่รู้ ฉันขอใส่แล้วมันต้องนุ่มเพราะเชื่อว่ามันจะดีกับเข่าของฉัน แต่เมื่อวิ่งไปสักพัก และเข้าใจสไตล์และความต้องการของตัวเองในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิงเยอะ ที่ไม่ได้ต้องการรองเท้าที่เยอะ minimal running shoes จึงเป็นคำตอบ 


ส่วนตัวเป็นคนชอบแบรนด์ New Balance อยู่แล้ว เพราะชอบที่ทำรองเท้าวิ่งเอาใจคนเท้าแบน เท้าบาน เท้าอ้วนแบบฉันได้ดี หน้ารองเท้าไม่ค่อยแคบและบีบให้เจ็บ รองเท้าวิ่งคู่แรกของฉันก็ New Balance นี่แหละ มันเลยเป็นความประทับใจเรื่อยมา และ Minimus เป็นรุ่นรองเท้าที่ตรงความต้องการ คือ ไม่ต้องเยอะ และให้ความรู้สึกใกล้เคียง barefoot โดยที่ยังไม่เท้าเปล่าแบบ extreme เพราะยังไม่อยากก้าวไปจุดนั้น 

เล็งพี่เค้าอยู่นาน ตั้งแต่รุ่นเก่ายันรุ่นใหม่ สุดท้ายเหมือนต้องมนต์  เมื่อเจอโปรโมชั่น The 1 card ของ SuperSports เข้าไป ค่าตัวพี่อยู่ที่ 3,950 บาท แต่ตอนนี้มีโปรโมชั่น บวกลบคูณหารในใจอย่างรวดเร็ว แม้จะสอบเลขตกมาตลอดก็ตาม ประมวลผลออกมาปุ๊บ ถือถุงเดินออกมาปั๊บค่ะ

เกริ่นย๊าววววยาวเนอะ เอาเป็นว่าสุดท้ายได้ไปสู่ขอเนื้อคู่มาใหม่ จึงได้ฤกษ์มาเม้าท์แบ่งปันความรู้สึกที่ได้ แต่จะให้รีวิวรองเท้าออกมาดีสมเหตุสมผล มันต้องรีวิวหลังจากใช้งานมาสักระยะจริงไหมคะ แต่ครั้นจะให้อัดอั้นเก็บเอาไว้จนวิ่งไปสักระยะก็กลัวตัวเองจะลืม และไม่ได้อวดเห่อของใหม่ ดังนั้นจึงขอแบ่งเป็นหลาย episode ให้ติดตามค่ะ ภาคนี้ขอเล่าถึงความรู้สึกแรกที่ใส่วิ่งครั้งแรกก่อนดีกว่า

พื้นรองเท้าแบบ 4 mm. drop

เมื่อแรกพบสบตา


ขอเรียกพี่เค้าว่า “พี่สลิ่ม” ละกัน เพราะด้วยสีสันน่ารัก ขาวไปหน่อยแต่แทรกด้วยชมพูแปร๊ และเขียวจิ๊ดๆ รวมมิตรกันออกมา ครบสีเป็นสลิ่มเลยทีเดียว จับขึ้นมาครั้งแรกขอบอกว่าปลื้มใจในความเบาหวิวที่เค้าเคลมว่ามีน้ำหนักแค่ 184 กรัมมากกกกกก พื้นรองเท้าแบบ 4 mm. drop ลองใส่ดูที่ร้านก็โอเค เบาสบาย ฟีลลิ่งแบบที่ชอบ แต่ทรงรองเท้ามันย้วยไปหน่อย เอาน่ะ บางทีเราก็ต้องมองข้ามอะไรเล็กๆน้อยๆ อ่อ..สำหรับใครอยากรู้ว่าแล้วไอ glow in the dark นี่มันยังไง ระหว่างที่วิ่งในความมืดก็พยายามก้มดูนะคะ อยากรู้ว่ารองเท้าฉันจะว๊าบบว๊าบบบในความมืดหรือเปล่า แต่ก็ปกตินะ ไม่ได้เรืองแสงสะท้านทรวงอะไร คงจะต้องรอถามจากคนที่วิ่งตาม บางทีเค้าอาจจะเห้นว่ารองเท้าฉันมันลอยได้ เพราะตัวคนใส่มืดกว่าความมืดหรือเปล่า ฮา..

ความรู้สึกหลังการใส่วิ่งครั้งแรก

ชิบหายละ.. นี่มันไม่ minimal มัน barefoot ชัดๆ สารภาพเลยว่าก้าวเท้าวิ่งครั้งแรกกับคู่นี้วิ่งกันไม่ถูกเลยทีเดียว พื้นมันบางกว่าที่เคยใส่มาทั้งหมด ต้องพยายามรวบรวมจัดท่าวิ่งให้ตัวเอง ซึ่งท่าวิ่งที่เหมาะกับรองเท้ารุ่นนี้คือ การวิ่งแบบเอาปลายเท้า หรืออุ้งเท้าลง มันจะไม่สามารถวิ่งลงส้นเท้าได้เลย ส่วนตัวว่าเหมาะกับคนที่เป็นนักวิ่งหน้าใหม่นะ เพราะคุณจะได้เริ่มต้นวิ่งด้วยท่าวิ่งที่ถูกต้อง แต่สำหรับคนที่วิ่งมาสักระยะแล้ว อาจจะต้องมาจัดท่าทางการวิ่งใหม่เลยทีเดียว

ลองวิ่งวันแรกไปด้วยระยะ 8 กม. ช่วง 2.5 กม.แรกสับสนมาก ตั้งใจวิ่งมากจนรู้สึกได้ว่าตัวเองเก้ๆกังๆ แต่พอวิ่งไปเรื่อยๆก็เริ่มชินขึ้น สิ่งที่ชอบคือความรู้สึกเบาเท้า เบามากเหมือนไม่ใส่อะไรเลย เป็นรองเท้าที่ขอแนะนำสำหรับคนที่อยากได้ความรู้สึก barefoot แต่ข้อเสียก็มีคือ รองเท้ามันเบาจนรู้สึกว่ามันยวบจนไม่ค่อยเป็นทรงไปนิด ด้วยความที่ทรงรองเท้ามันไม่บังคับเท้า เท้าฟรีมาก เวลาวิ่งแล้วจะรู้สึกไร้ทิศทาง ไม่มีอะไรคอนโทรลเท้า ซึ่งจริงๆแล้วจุดนี้มันก็เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลเลยค่ะ




ใส่ไปครั้งแรก คงด้วยความใหม่ของรองเท้า และพื้นรองเท้าบางๆที่เรายังไม่คุ้นชิน จึงรู้สึกยังไม่สบายและเกิดอาการพองที่ฝ่าเท้าบริเวณนิ้วโป้ง (สังเกตตัวเองได้ว่าเวลาวิ่งชอบลงน้ำหนักที่นิ้วโป้งจึงทำให้ส่วนนี้พองบ่อย คู่อื่นก็เป็นนะคะไม่ใช่เป็นเฉพาะกับคู่นี้) ตอนนี้เลยตั้งใจว่า ระหว่างที่ยังไม่มีเวลาพาพี่เค้าไปวิ่ง จะเอามาใส่เที่ยว ใส่เดินให้เรารักกันก่อน

นอกจากอาการพองที่เท้าแล้ว ก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอย่างอื่นเลยค่ะ ตอนวิ่งแรกๆรู้สึกขัดๆ เจ็บเข่า ตึงหน้าแข้งนิดหน่อย แต่พอวิ่งเสร็จไม่มีอาการอะไรเลย วันรุ่งขึ้นหรือวันต่อๆมาก็ไม่มีการบาดเจ็บค่ะ ฝากสำหรับคนที่ซื้อรองเท้ามาใหม่ๆนะคะ การลองวิ่งด้วยรองเท้าคู่ใหม่วันละนิด ให้เท้า ให้ขาเราได้ค่อยๆทำความคุ้นเคยจะดีกว่า และสามารถช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดได้

รีวิวนี้ถือว่าพาพี่สลิ่มมาแนะนำตัวก่อนดีกว่า ขออนุญาตยังไม่ให้คะแนน และยังไม่พูดว่าดี หรือไม่ดียังไง เพราะใส่วิ่งไปแค่ครั้งเดียวและยังไม่ชินกับมัน ยังไม่ทำความรู้จักกันแบบเต็มที่ แต่หลังจบมาราธอนที่พัทยา จะมาลองใส่พี่เค้าอย่างจริงจัง แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้งในภาคหน้านะคะ 
จบดื้อๆแบบนี้ล่ะค่ะ สวัสดี..



2 comments:

  1. รออ่านต่อไป :)

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณแฟนพันธุ์แท้อย่างพี่ฮั้วนะคะ .. มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย :)

      Delete