Thursday, March 20, 2014

[Race Diary] Thai-Sikh Mini-Half Marathon 2014 (23-02-14)



..เป็นการบันทึกงานวิ่งย้อนหลัง อาจจะไม่ได้อรรถะรสเท่าที่ควรเพราะดองความรู้สึกไว้นานมากนะจ๊ะ

ไทย-ซิกซ์เป็นงานวิ่งที่โดนพิษการเมืองจึงทำให้ต้องเลื่อนการจัดงานมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2556 จนสุดท้ายก็มาได้จัดเอาในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ต้องบอกว่า ตอนแรกไม่เคยมีความคิดจะวิ่งงานนี้เลย เพราะกำหนดการจัดงานเดิมคือวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งถ้างานได้จัดตามกำหนดเดิม จะยังคงเป็นช่วงหลังจากการวิ่งฟูลมาราธอนที่กรุงเทพมาราธอนไม่นาน ในตอนนั้น ตั้งใจว่าหลังจบระยะฟูล จะพักซักหน่อย จึงไม่ได้สมัครงานนี้ไว้

และเวลาก็ล่วงเลยมา จนลืมและไม่ได้ใส่ใจว่ามีงานนี้ แต่พอใกล้วันงาน ด้วยความมุ่งมั่นที่วางไว้ประจำปีม้านี้ว่า หากมีการจัดงานวิ่งระยะฮาล์ฟในกรุงเทพฯ ฉันจะต้องสมัครทุกงาน ห้ามงอแง เพราะตั้งแต่จบฟูลมาราธอนมาก็เป็นการยากเย็นเหลือเกินที่จะวิ่งซ้อมเองให้ได้ระยะเกิน 15 กม. จึงต้องอาศัยงานวิ่งนี่แหละเป็นสนามซ้อม บวกกับว่า เส้นทางในการวิ่งครั้งนี้น่าสนใจไม่น้อย คล้ายกับเส้นทางของกรุงเทพมาราธอน แต่ก็มีถนนบางสาย เช่น พาหุรัด บ้านหม้อที่ไม่น่าจะมีโอกาสได้วิ่งเองหากไม่มีการจัดงานวิ่งแบบนี้

แผนที่เส้นทางการวิ่งใหม่

ตัดสินใจได้ดังนั้น จึงเริ่มทำการเช็คข้อมูลว่าปิดรับสมัครหรือยัง เพราะจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนที่จะมีการเลื่อนการจัดงาน ได้มีการประกาศว่าปิดและไม่รับนักวิ่งเพิ่มแล้ว และเป็นโชคดีที่ได้ทราบว่ายังเปิดรับสมัครอยู่ และไม่จำกัดจำนวนนักวิ่งแล้วจ้า 


การเตรียมตัวสำหรับงานนี้ไม่มีอะไรมาก เรียกว่าไม่มีเลยจะดีกว่า อาศัยบุญเก่า (ที่เชื่อเอาเองว่ามีอยู่) มาวิ่งทั้งนั้น สนามอื่นๆก่อนหน้านี้ก็ยังวิ่งได้ดี และทำเวลาเป็นสถิติใหม่ได้เรื่อยๆ มาถึงงานนี้ บอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำสถิติใหม่แล้ว จะไม่ให้เร็วไปกว่าเดิม แย่กว่าเดิมก็พอรับได้นะ เพราะคิดว่ามาวิ่งเล่น วิ่งซ้อมเสียมากกว่า ส่วนตัวคิดว่า การพยายามบอกให้ตัวเองทำสถิติใหม่เรื่อยๆนั้นเป็นการทำร้ายตัวเองเกินไป และถ้านึกย้อนไปถึงงานไบเทคที่เพิ่งผ่านไป รู้เลยว่าการอ่อนซ้อมทำให้ตัวเองเหนื่อยมากแค่ไหน และงานนี้จะต้องไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว

ก่อนปล่อยตัวแบบเบลอๆ
(ขอบคุณพี่โค้วสำหรับภาพค่ะ)
งานนี้ปล่อยตัวเร็วมาก 4.30 น. จึงต้องวางแผนการนอนและการไปถึงจุดปล่อยตัวให้ดี ใครที่ยัง งง ว่าควรจะตื่นนอนหรือวางแผนอย่างไรในงานวิ่ง วิธีของฉันคือ ให้วางเวลาที่จะไปถึงงานวิ่งเป็นตัวตั้ง แล้วนับถอยหลังลงไป เพื่อคำนวนเวลาตื่นและนอนค่ะ เช่น ปล่อยตัว 4.30 น. ดังนั้นควรจะต้องไปถึงที่งานไม่เกิน 4.00 น. คำนวนระยะเวลาเดินทางจากบ้าน 10 นาที แปลว่าต้องออกจากบ้าน 3.50 น. คำนวนการอาบน้ำแต่งตัว หาอะไรรองท้อง เตรียมพร้อมออกจากบ้าน 30 นาที แปลว่าต้องตื่น 3.30 น. ต้องนอนให้ได้อย่างน้อย 7 ชม. แปลว่าต้องเข้านอน 20.00 น. เป็นต้น 


ถามว่าจริงๆทำได้อย่างที่วางแผนไว้ไหม บอกเลยว่าบางครั้งก็ทำได้ และบางครั้งก็ทำไม่ได้ ที่ทำไม่สำเร็จส่วนใหญ่คือการเข้านอนค่ะ โดยปกติทุกงานวิ่ง จะตั้งเวลาไว้ว่าสองทุ่มจะต้องนอน แต่โดยมากก็จะเลยไปจนถึงสามทุ่ม บางทีก็สี่ทุ่ม แต่งานนี้โอ้เอ้ไปมาเพราะคนดีมาพาไปหาอะไรกินตุนพลังรอบดึก กว่าจะได้นอนก็เกือบห้าทุ่มเข้าไปแล้ว!! .. ยังไม่ทันนอนก็รู้ว่าต้องวิ่งแบบง่วงๆแน่

นอกจากเรื่องการนอนที่ผิดเวลาไป ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเวลาที่วางไว้ทั้งสิ้น งานนี้เป็นงานแรกที่ฉันไม่ได้กินอะไรรองท้องก่อนวิ่งระยะ 20 กม. อ่านไม่ผิดค่ะ ไม่ได้กินอะไรเลย เพราะไม่ได้ตื่นเช้ามาวิ่งในเวลานี้มานาน มันกลืนไม่ลงจริงๆ งานนี้เลยอาศัยพลัง Gu Gel ช่วย บีบเข้าปากก่อนปล่อยตัว 15 นาที ก่อนออกสตาร์ท ตั้งสติเช็คสภาพทั้งร่างกายและจิตใจของตัวเองแล้ว อยู่ในขั้นปกติ คิดว่ายังไงวันนี้ก็ต้องจบลงอย่างปกติ


วิ่งแบบเบลอๆ
(ขอบคุณภาพจากพี่โค้วค่ะ)

วิ่งไปในความืดในเส้นทางที่คุ้นเคย วิ่งไปก็พลันนึกย้อนถึงวันที่วิ่งกรุงเทพมาราธอนไป มันเหมือนการกลับมารำลึกความหลังจริงๆนะ เสน้ทางก่อนจะขึ้นทางยกรัดับลอยฟ้าต่างกันโดยสิ้นเชิง เลยทำให้ยังรู้สึกสนุกและตื่นเต้นเพราะไม่เคยวิ่งทางนี้มาก่อน (ปกติจะเป็นทางที่ใช้วิ่งกลับเข้าเส้นชัย แต่วันนี้เป็นทางที่วิ่งย้อนไป) 2 กม.แรกวิ่งไปพร้อมกับพี่ชายนักวิ่งคนหนึ่ง วิ่งไปคุยกันไปบ้าง สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยผู้ชายให้จากไปเพราะเข็ดกับการเร่งช่วงแรกและตายตอนหลัง 


วิ่งมาจนถึงแยกบางขุนพรมก็ต้องเจอการหยุดชะงักครั้งแรก พี่ๆที่ขับรถเค้าไม่ยอมหยุดให้เราวิ่ง กำลังวิ่งได้จังหวะดีเลยทีเดียว จากนั้นวิ่งขึ้นสะพานพระรามแปด วิวตอนกลางคืนไม่สวยเท่าตอนพระอาทิตย์ขึ้น แต่มันสงัดจับใจจนรู้สึกเหงามากขึ้นมาทันที วิ่งไปเรื่อยในความมืด มีคุณลุงมาทักทายบ้างในบ้างครา แต่วันนั้นคุยกับใครไม่ไหวจริงๆ เหมือนร่างกายอยากใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเลยเพราะอยู่ๆก็เกิดอาการปวดท้องกระทันหัน ..ก็ว่าจะวิ่งแบบไม่มีดราม่าแล้วเชียว จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆไป

ขากลับหลังจากลงจากทางยกระดับ มุ่งหน้าสะพานพระปิ่น นักวิ่งทิ้งระยะห่างกันมาก หันไปมองข้างหลังไม่มีใครวิ่งตามเลย มีคุณลุงอยู่หน้าประมาณ 2-3 คนจึงพยายามวิ่งเกาะแกไปเพราะมันดูวังเวงแปลกๆ ตามมาเจอกลุ่มคนอีกครั้งที่สะพานพระปิ่น รู้สึกถึงพลังของแรงโน้มถ่วงที่คอยกระซิบข้างหูตลอดเวลาว่า “เดินเถอะนาง..เดินเถอะนาง” แต่งานนี้ฉันชนะนะจ๊ะ ไม่เดินค่ะ สู้สุดพลังเหมือนมีรางวัลยิ่งใหญ่รออยู่เส้นชัยยังไงอย่างงั้น


พอลงจากสะพานปุ๊บ ก็เร่งฝีเท้าวิ่งมาเรื่อยๆ เป็นอีกวันที่รู้สึกว่าวิ่งสนุกดีจัง การที่ไม่ได้วิ่งก่อนลงสนามสัก 3 วันนี่ร่างกายฟิตดีนะ มันไม่ล้า ตรงกันข้ามกับที่คิดไว้เลยว่าถ้าไม่ได้วิ่งต่อเนื่อง แล้วมาลงสนามร่างกายจะไม่ไหว ฉันกลับรู้สึกว่าขามันฟิต ใจมันสด คึกคักพร้อมจะโล่ดแล่นดีกว่าเยอะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่บอกว่าร่างกายฟิตนี่ราคาคุยชัดๆ อันที่จริง ณ ตอนนั้นร่างแทบสลาย ไม่รู้ว่าฤกษ์งามยามดีหรืออย่างไร ลงสนามวิ่งที่ไรข้าศึกโจรแดงจะต้องมาเยี่ยมเยียนทุกที วิ่งไปก็กังวลไป ทั้งปวดท้อง ทั้งกลัวสร้างอาชญากรรมนองเลือดให้นักวิ่งสะพรึง ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องจบให้เร็วที่สุด ต้องวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อจะไปจัดการโจงแดงให้เร็วที่สุด!

มาจนถึงท่าช้าง เห็นข้างวังปุ๊ป ความทรงจำของกรุงเทพมาราธอนก็โผล่มาปั๊บ วันนั้นน้ำตาแทบจะไหล รู้สึกว่าวังใหญ่เหลือเกิน และวันนี้ก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ยังวิ่งได้สบายกว่าเยอะ แน่สิ..ระยะทางต่างกันตั้งครึ่ง วิ่งมาจนถึงวงเวียนสนามไชย เริ่มไม่ไหวแล้วแต่ฮึดสู้เข้าไปเพราะเวลากำลังสวยงาม แต่ก็มาเสียจังหวะต้องหยุดรอรถวิ่งผ่านไปก่อนจนได้ มองไปข้างหน้า เห็นนักวิ่งน้อยมากและแทบไม่มีผู้หญิงเลย ในใจก็หวังว่าจะต้องมีโอกาสลุ้นรางวัลกับเค้าสิน่า คิดได้ดังนั้นจึงกัดฟัน ล้วงกระเป๋าหยิบยาดมแล้วโกยแน่บ!


เข้าเส้นชัยระยะ 20กม. ด้วยเวลา 1.59 ชม. ดีใจน้ำตาจะไหล คำนวนในหัวแล้วคิดว่าถ้าเป็นระยะ 21 กม.ก็ได้สถิติใหม่อีกแล้วสิ ไหนใครบอกจะไม่ทำสถิติใหม่แล้วไง ในใจก็ยังไม่วายลุ้นถ้วยกับเค้าแต่สุดท้ายก็แป๊กไป ไม่ติด 1 ใน 5 เพราะพี่รถเมล์แท้ๆที่ทำให้น้องได้ที่ 7 ในกลุ่มอายุ!

สรุปได้ว่าชอบเส้นทางของงานนี้ แม้จะทับเส้นกรุงเทพมาราธอน และคุ้นชินกับหลายๆงานที่จัดบนสะพานพระรามแปด แต่พี่เค้าสามารถจัดให้มันไม่น่าเบื่อด้วยการวิ่งย้อนเส้นทาง เพิ่มนิด แวะนั่นจึงรู้สึกว่าสนุกดี ปล่อยตัวเช้าดีทำให้ไม่ร้อน แม้จะเหนื่อยที่ต้องตื่นเช้า แต่สุดท้ายฉันถือว่าเป็นเวลาปล่อยตัวที่เหมาะสมสำหรับระยะ 20 กม.เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นการวางแผนอย่างเห็นใจนักวิ่งที่ไม่รีบทำเวลา เสียก็แต่อากาศร้อนและอบอ้าวไปหน่อย แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครที่อยากไปวิ่งเล่นรื้อฟื้นความหลังกรุงเทพมาราธอน เชื่อเถอะว่าภาพเก่าๆจะผุดขึ้นมาในสมองในคุณได้ดราม่าเงียบคนเดียวอย่างแน่นอน


1 comment:

  1. หลายคน (รวมทั้งผม) คงมีความรู้สึกแบบเดียวกันที่หลังจากที่ผ่านมาราธอนมาแล้ว จะมีความมั่นใจว่า ยังไงระยะฮาล์ฟฯ นี่วิ่งถึงแน่ๆ.....ถ้าเป็น 1 ปีก่อนหน้านี้ อย่าว่าแต่ถึงหรือไม่ถึงเลย ผมไม่คิดจะวิ่งเกิน มินิฯ แน่ๆ.........ยินดีสำหรับสถิติใหม่ (อีกครั้ง) นะครับ เก่งขึ้นเรื่อยๆ เลย

    ReplyDelete