หลังจากไม่ได้ลงวิ่งสนามในเมืองกรุงมาเกือบ
2 เดือน ตัดสินใจไม่ยากกับการลงวิ่งงานนี้ค่ะ
อาจเนื่องด้วยเคยได้ทราบข่าวคราวงานวิ่งนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว
แต่ครั้งนั้นยังไมได้พาตัวเองเข้าสู่โลกของการวิ่ง เลยพลาดงานปีที่แล้วไป
และได้ตั้งใจไว้ว่า ปีนี้จะต้องร่วมวิ่งงานบางกอกโพสต์ให้ได้
เพราะอะไรทำไมถึงรู้สึกว่าต้องวิ่งงานนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรมากเลยค่ะ
อาจเพราะเป็นคนที่ทำงานในสายสื่อสาร
มันก็เลยรู้สึกเหมือนงานวิ่งนี้จัดโดยพี่โดยน้องร่วมสายอาชีพ ฉันเลยอยากมีส่วนร่วมประมาณนั้น
งานวิ่งบางกอกโพสต์ปีนี้จุดปล่อยตัว
และจุดสิ้นสุดการแข่งขันอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ไอตอนแรกเราก็นึกว่าก็คงคล้ายกับงานวิ่งบิ๊กซี
ที่มีซุ้มตั้งอยู่กลางถนน แต่ที่ไหนได้ ดันไปตั้งอยู่บริเวณหน้าห้าง
ซึ่งก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งนะคะ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาการจราจร
และความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อนักวิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว ทุกคนสามารถเอ็นจอย
พักผ่อน พบปะพูดคุยได้เต็มที่โดยไม่ต้องมัวพะวงรถราที่แล่นไปมาบนท้องถนน
ด้วยความซ่าของดิฉัน
ที่อยู่ดีๆไม่รู้นึกคึกอะไรอยากจะมีคืนศุกร์หรรษาหลังจากห่างหายวงการสาวซ่าไปนาน
เลยจัดเต็มไปมาก จนทำให้วันเสาร์นางนอนตายอยู่บ้านไข้ขึ้น กินไม่ได้ ลุกไม่ได้ไปหนึ่งวันเต็มๆ
กระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนเข้านอนยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะตื่นไปวิ่งไหวไหม
เพราะสภาพวันนั้นบอกได้เลยว่า “ไม่ไหวจ้า”
ก่อนการปล่อยตัว จะเห็นมหาชนอยู่ลิปๆ |
นาฬิกาปลุกตี
4 ตื่นมาคุยกับตัวเองว่า “ไหวไหมน่ะเรา” ได้ยินนางตอบว่า “ไหวสิจ๊ะ รุ่นนี้แล้ว”
เลยจัดการอาบน้ำแต่งตัว มุ่งหน้าสู่สถานที่จัดงาน ไปถึงที่งานเวลางาม เกือบๆตี 5 ปล่อยตัว
5.30 แต่คนก็คึกคักมากแล้ว วิ่งวอร์มนิดหน่อยพอให้ตัวเองคึกคัก
แต่ก็ยืดน้อยมากเพราะมัวแต่เม้าท์ตามประสา และเมื่อใกล้ถึงเวลาปล่อยตัวก็เพิ่งรู้ว่าจึดที่เรายืนอยู่นั้นด้านฝั่ง
zen
นั้นมันผิดทิศ เพราะจะต้องปล่อยตัวจากประตูฝั่งอิเซตันมุ่งหน้าไปยังถนนราชดำริ
แต่กว่าจะรู้ตัวก็เกือบพาตัวเองเข้าจุดปล่อยตัวไม่ทัน
เลยกลายเป็นอยู่ซะเกือบหางแถว กว่าจะพาตัวเองถึงคิววิ่งผ่านซุ้มก็ 2 นาทีกว่าๆหลังเสียงสัญญาณปล่อยตัว
งานนี้คนเยอะมาก
วิ่งเกาะกลุ่มกับฝูงชนอย่างหนาแน่นตลอดเส้นทางเลยทีเดียว เป็นงานที่รู้สึกว่าเตรียมตัวมาไม่พร้อมเพราเพิ่งสร่างไข้
แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองวิ่งได้ดีมากกว่าที่คิดเอาไว้ 5 กม.แรกวิ่งชิวมาก
รักษาจังหวะได้ดี และเร่งขึ้นได้เรื่อยๆ จนมาถึงช่วง รร.ปาร์คนายเลิศที่เริ่มมีความรู้สึกว่าเหนื่อยขึ้นมาในหัว
แต่ก็ยังคิดว่า เอาน่ะ ยังไหว วิ่งเข้าถนนเพชรบุรี มาจนเกือบถึงแยกแพลตตินั่ม
ตอนนั้นเร่งจังหวะขึ้นมาเต็มที่เพราะดันจำแผนที่ผิดคิดว่าจะถึงแล้ว
เลี้ยวซ้ายแยกนี้แน่ๆ แต่แล้วก็กรี๊ดในใจ เอ้ย..ไม่ใช่นี่หว่า หนทางยังอีกไกล
เลยเสียจังหวะผ่อนลงมานิดนึงเลยทำให้เหนื่อยมาก
จะมีสักกี่ครั้งที่คุณได้นั่งเหยีนดขาหน้าห้าง ถ้าไม่ได้ลุกขึ้นมาทำเรื่องที่ใครๆมองว่าบ้าแต่เช้าตรู่ |
และดิฉันก็เบ๊อะอีกครั้งกับการจำเส้นทางผิด
เพราะคิดว่าจะเลี้ยวซ้ายที่แยกราชเทวี พอใกล้ถึงแยกนั้นก็จินตนาการสะพานหัวช้างไว้
และพยายามเร่งอีกครั้งเพราะคิดว่าเส้นทางกำลังจะจบ
แต่เดี๋ยวก่อน...ในแผนที่ที่ท่องมามันมีคำว่า บรรทัดทองนี่คะ กรี๊ดดด
นางจำผิดอีกแล้ว อุตส่าห์เร่งมาแล้ว ต้องออมแรงสินะจึงเบรคเอี๊ยดติดสัญญาณไฟแดง
สบถออกมาเบาๆแต่คนข้างๆก็ได้ยิน
หลังจากต้องหยุดกับไฟแดงนั้น
จนมาถึงช่วง กม.ที่ 7-8 ก็รู้สึกว่ากำลังที่มีมันอ่อนไปไหนก็ไม่รู้ เริ่มมีอาการเจ็บที่หัวเขา
รู้สึกว่าตัวร้อนมาก เหงื่อออกเยอะผิดปกติ และปวดหัวมาก จำได้ว่าเคยอ่านอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ว่า
ถ้าวิ่งแล้วรู้สึกปวดหัวให้หยุดพัก ตอนนั้นปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
และเริ่มรู้สึกแล้วว่ากำลังจะเป็นลม กำลังจะวูบ และถ้าเป็นลมแล้วจะเป็นภาระคนอื่น หรือหากล้มตึงไปกับพื้นมันจะไม่งาม
(บอกแล้วค่ะ ว่าเป็นพีอาร์ต้องรักษาภาพ) จึงตัดสินใจบอกตัวเองว่า พัก และเดิน
ไม่มีใครว่า รักษาตัวเองไว้ก่อน พร้อมหันไปบอกให้คนข้างๆล่วงหน้าไปก่อนเลยค่ะ
บรรยากาศงาน คึกคักนะคะ |
เดิน
สลับวิ่งเบาๆมาจนถึงโลตัสพระราม 1 รู้สึกดีขึ้น และลูกฮึดก็บอกตัวเองว่า “สู้เว้ย
จะมางอแงยอมแพ้อะไรวะเธอ” จบความคิดนี้ในหัว ฉันก็ใส่เกียร์หมาวิ่งเริงร่าตลอดเส้นทาง
ผ่านสนามศุภฯ ผ่านพารากอน ใกล้แล้วๆ มีสถานีน้ำหน้าพารากอนก็หันไปเชิ่ดใส่
ฉันไม่กินหรอกย่ะ ฉันจะเร่งเข้าเส้นชัยแล้ว แต่..ดิฉันลืมค่ะ ว่าเมื่อมีพารากอน
จะต้องต่อด้วยวัดปทุมฯ เมื่อเห็นกำแพงวัดปทุมฯก็ถึงกับกรีดร้อง
แต่ก็แข็งใจวิ่งเร่งแซงหนุ่มๆไปเรื่อยจนมาถึงโค้งสุดท้ายแยกพระพรหม เอายาดมที่กำอยู่ในมือจอเข้าที่จมูกสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด
สู้โว๊ย..วิ่งหัวฟูเข้าเส้นชัยที่ 1.07 นาที กับลำดับที่ 17 ของรุ่น (ชีวิตนักวิ่งคว้าถ้วยมันเป็นอดีตไปหมดแล้วค่ะ)
สนามนี้เป็นสนามมินิมาราธอนในรอบหลายเดือน
ปกติจะไม่ชอบลงสนามมินิ เพราะไม่สันทัดการวิ่งระยะสั้นและต้องทำเวลาดีให้ได้
รู้สึกว่ามันกดดันมาก แต่การวิ่งครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่า ฉันวิ่งได้เร็วขึ้นมาก
ถ้าฟิตซ้อมดีๆ การวิ่ง 10 กม.ให้ต่ำกว่า 60 นาที (ให้ได้อีกครั้ง) ไม่ใช่เรื่องยากเลย
pace
วิ่งที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.4 ในช่วง กม.ที่ 7 และสามารถวิ่งประครอบตัวเองให้อยู่ใน
pace 5-6 ได้เกือบตลอดเส้นทาง ถ้า..ไม่ถอดใจเดินซะก่อน และสนามนี้ก็ทำให้ค้นพบอีกเรื่องน่ายินดี
ก็คืออาการบาดเจ็บที่บริเวณเข่าซ้ายที่มากังวลใจกว่า 7 สัปดาห์ดีขึ้นมาก
เรียกว่าแทบจะไม่มีอาการเจ็บแล้ว ฉันกลับมาแล้ว :)
สรุปส่งท้าย
งานนี้จัดได้ดีค่ะ สถานที่จัดงานไม่แออัด น้ำท่าไม่ขาด
มีเกลือแร่ให้แม้จะเป็นระยะแค่ 10 กม. แม้จะมีปัญหาการจราจรบ้างในเส้นทางวิ่ง
แต่ก็ดูจะกลายเป็นปัญหาที่ผู้จัดงานไหนๆก็เลี่ยงไม่ได้ เส้นทางวิ่งผ่านถนนเพชรบุรียังคงไม่ประทับใจเหมือนเคย
เหม็นขยะ รถเยอะ สามารถวิ่งได้เลนส์เดียวแคบๆ ถ้าเป็นไปได้
ก็อยากให้ผู้จัดงานลองหาเส้นทางอื่นๆบ้าง
ไม่ต้องใจกลางเมืองที่หลีกเลี่ยงการจราจรยากขนาดนี้
งานวิ่งครั้งนี้ยังเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนมากว่า
กระแสการวิ่งในไทย บูมขึ้นอย่างจริงจังมาก บัตรวิ่งขายหมดเกลี้ยง
จำนวนนักวิ่งก็เยอะขึ้นผิดหูผิดตาจริงๆ ส่วนตัวมองว่า เป็นนิมิตรหมายที่ดีนะคะ
คงจะมีสักวัน ที่งานวิ่งในไทยมีโอกาสได้จัดแบบยิ่งใหญ่เหมือนระดับสากลบ้าง
ถ้าคนเริ่มหันมาสนใจวิ่งกันมาขึ้นแบบนี้
เอนนี่เวย์..ฝากทิ้งท้ายเตือกสติตัวเองเอาไว้สักนิด อยู่ดีๆก็มานั่งคิดระลึกทบทวนตัวเองได้ว่า พักหลังมานี้ ทุกครั้งที่ไปลงสนามวิ่ง ฉันจะมีข้ออ้างต่างๆนานา มีเหตุผลล้านแปดว่าทำไมฉันทำไมได้ไม่ดี ประสิทธิภาพไม่เต็มร้อย เจ็บบ้างล่ะ ป่วยบ้างล่ะ ซึ่งไปๆมาๆ มันกลายเป็นเสียนิสัยไปแล้วว่า ก็ฉันทำไมไม่ดี เพราะฉันไม่เต็ม 100 นี่จ๊ะ ดังนั้น จากนี้ ไม่เอาแล้วนะคะนางขา ทุกสนาม จะต้องเต็ม 100 เลิกมีข้ออ้างออดอ้อนยอมให้ตัวเองวิ่งตามมีตามเกิด โอเคนะคะ ฉันจะต้องเป็นเด็กดี :)
ขนาดไม่พร้อม ยังแซงผมเข้าเส้นเลย
ReplyDelete:)
มาติดตามอ่านเช่นเคย ขณะวิ่งผมก็คุยกับตัวเองแบบนี้เหมือนกัน เป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเอง ท่ามกลางนักวิ่งหลากหลาย สนุกดีครับ
ReplyDelete