Wednesday, August 7, 2013

[Race Diary] Bangkok Post 10 km Int’l Run 2013 04.08.13



หลังจากไม่ได้ลงวิ่งสนามในเมืองกรุงมาเกือบ 2 เดือน ตัดสินใจไม่ยากกับการลงวิ่งงานนี้ค่ะ อาจเนื่องด้วยเคยได้ทราบข่าวคราวงานวิ่งนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ครั้งนั้นยังไมได้พาตัวเองเข้าสู่โลกของการวิ่ง เลยพลาดงานปีที่แล้วไป และได้ตั้งใจไว้ว่า ปีนี้จะต้องร่วมวิ่งงานบางกอกโพสต์ให้ได้ เพราะอะไรทำไมถึงรู้สึกว่าต้องวิ่งงานนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรมากเลยค่ะ อาจเพราะเป็นคนที่ทำงานในสายสื่อสาร มันก็เลยรู้สึกเหมือนงานวิ่งนี้จัดโดยพี่โดยน้องร่วมสายอาชีพ ฉันเลยอยากมีส่วนร่วมประมาณนั้น


งานวิ่งบางกอกโพสต์ปีนี้จุดปล่อยตัว และจุดสิ้นสุดการแข่งขันอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ไอตอนแรกเราก็นึกว่าก็คงคล้ายกับงานวิ่งบิ๊กซี ที่มีซุ้มตั้งอยู่กลางถนน แต่ที่ไหนได้ ดันไปตั้งอยู่บริเวณหน้าห้าง ซึ่งก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งนะคะ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาการจราจร และความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อนักวิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว ทุกคนสามารถเอ็นจอย พักผ่อน พบปะพูดคุยได้เต็มที่โดยไม่ต้องมัวพะวงรถราที่แล่นไปมาบนท้องถนน

ด้วยความซ่าของดิฉัน ที่อยู่ดีๆไม่รู้นึกคึกอะไรอยากจะมีคืนศุกร์หรรษาหลังจากห่างหายวงการสาวซ่าไปนาน เลยจัดเต็มไปมาก จนทำให้วันเสาร์นางนอนตายอยู่บ้านไข้ขึ้น กินไม่ได้ ลุกไม่ได้ไปหนึ่งวันเต็มๆ กระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนเข้านอนยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะตื่นไปวิ่งไหวไหม เพราะสภาพวันนั้นบอกได้เลยว่า “ไม่ไหวจ้า”

ก่อนการปล่อยตัว จะเห็นมหาชนอยู่ลิปๆ

นาฬิกาปลุกตี 4 ตื่นมาคุยกับตัวเองว่า “ไหวไหมน่ะเรา” ได้ยินนางตอบว่า “ไหวสิจ๊ะ รุ่นนี้แล้ว” เลยจัดการอาบน้ำแต่งตัว มุ่งหน้าสู่สถานที่จัดงาน ไปถึงที่งานเวลางาม เกือบๆตี 5 ปล่อยตัว 5.30 แต่คนก็คึกคักมากแล้ว วิ่งวอร์มนิดหน่อยพอให้ตัวเองคึกคัก แต่ก็ยืดน้อยมากเพราะมัวแต่เม้าท์ตามประสา และเมื่อใกล้ถึงเวลาปล่อยตัวก็เพิ่งรู้ว่าจึดที่เรายืนอยู่นั้นด้านฝั่ง zen นั้นมันผิดทิศ เพราะจะต้องปล่อยตัวจากประตูฝั่งอิเซตันมุ่งหน้าไปยังถนนราชดำริ แต่กว่าจะรู้ตัวก็เกือบพาตัวเองเข้าจุดปล่อยตัวไม่ทัน เลยกลายเป็นอยู่ซะเกือบหางแถว กว่าจะพาตัวเองถึงคิววิ่งผ่านซุ้มก็ 2 นาทีกว่าๆหลังเสียงสัญญาณปล่อยตัว


งานนี้คนเยอะมาก วิ่งเกาะกลุ่มกับฝูงชนอย่างหนาแน่นตลอดเส้นทางเลยทีเดียว เป็นงานที่รู้สึกว่าเตรียมตัวมาไม่พร้อมเพราเพิ่งสร่างไข้ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองวิ่งได้ดีมากกว่าที่คิดเอาไว้ 5 กม.แรกวิ่งชิวมาก รักษาจังหวะได้ดี และเร่งขึ้นได้เรื่อยๆ จนมาถึงช่วง รร.ปาร์คนายเลิศที่เริ่มมีความรู้สึกว่าเหนื่อยขึ้นมาในหัว แต่ก็ยังคิดว่า เอาน่ะ ยังไหว วิ่งเข้าถนนเพชรบุรี มาจนเกือบถึงแยกแพลตตินั่ม ตอนนั้นเร่งจังหวะขึ้นมาเต็มที่เพราะดันจำแผนที่ผิดคิดว่าจะถึงแล้ว เลี้ยวซ้ายแยกนี้แน่ๆ แต่แล้วก็กรี๊ดในใจ เอ้ย..ไม่ใช่นี่หว่า หนทางยังอีกไกล เลยเสียจังหวะผ่อนลงมานิดนึงเลยทำให้เหนื่อยมาก


จะมีสักกี่ครั้งที่คุณได้นั่งเหยีนดขาหน้าห้าง
ถ้าไม่ได้ลุกขึ้นมาทำเรื่องที่ใครๆมองว่าบ้าแต่เช้าตรู่

และดิฉันก็เบ๊อะอีกครั้งกับการจำเส้นทางผิด เพราะคิดว่าจะเลี้ยวซ้ายที่แยกราชเทวี พอใกล้ถึงแยกนั้นก็จินตนาการสะพานหัวช้างไว้ และพยายามเร่งอีกครั้งเพราะคิดว่าเส้นทางกำลังจะจบ แต่เดี๋ยวก่อน...ในแผนที่ที่ท่องมามันมีคำว่า บรรทัดทองนี่คะ กรี๊ดดด นางจำผิดอีกแล้ว อุตส่าห์เร่งมาแล้ว ต้องออมแรงสินะจึงเบรคเอี๊ยดติดสัญญาณไฟแดง สบถออกมาเบาๆแต่คนข้างๆก็ได้ยิน 

หลังจากต้องหยุดกับไฟแดงนั้น จนมาถึงช่วง กม.ที่ 7-8 ก็รู้สึกว่ากำลังที่มีมันอ่อนไปไหนก็ไม่รู้ เริ่มมีอาการเจ็บที่หัวเขา รู้สึกว่าตัวร้อนมาก เหงื่อออกเยอะผิดปกติ และปวดหัวมาก จำได้ว่าเคยอ่านอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ว่า ถ้าวิ่งแล้วรู้สึกปวดหัวให้หยุดพัก ตอนนั้นปวดมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มรู้สึกแล้วว่ากำลังจะเป็นลม กำลังจะวูบ และถ้าเป็นลมแล้วจะเป็นภาระคนอื่น หรือหากล้มตึงไปกับพื้นมันจะไม่งาม (บอกแล้วค่ะ ว่าเป็นพีอาร์ต้องรักษาภาพ) จึงตัดสินใจบอกตัวเองว่า พัก และเดิน ไม่มีใครว่า รักษาตัวเองไว้ก่อน พร้อมหันไปบอกให้คนข้างๆล่วงหน้าไปก่อนเลยค่ะ

บรรยากาศงาน คึกคักนะคะ

เดิน สลับวิ่งเบาๆมาจนถึงโลตัสพระราม 1 รู้สึกดีขึ้น และลูกฮึดก็บอกตัวเองว่า “สู้เว้ย จะมางอแงยอมแพ้อะไรวะเธอ” จบความคิดนี้ในหัว ฉันก็ใส่เกียร์หมาวิ่งเริงร่าตลอดเส้นทาง ผ่านสนามศุภฯ ผ่านพารากอน ใกล้แล้วๆ มีสถานีน้ำหน้าพารากอนก็หันไปเชิ่ดใส่ ฉันไม่กินหรอกย่ะ ฉันจะเร่งเข้าเส้นชัยแล้ว แต่..ดิฉันลืมค่ะ ว่าเมื่อมีพารากอน จะต้องต่อด้วยวัดปทุมฯ เมื่อเห็นกำแพงวัดปทุมฯก็ถึงกับกรีดร้อง แต่ก็แข็งใจวิ่งเร่งแซงหนุ่มๆไปเรื่อยจนมาถึงโค้งสุดท้ายแยกพระพรหม เอายาดมที่กำอยู่ในมือจอเข้าที่จมูกสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด สู้โว๊ย..วิ่งหัวฟูเข้าเส้นชัยที่ 1.07 นาที กับลำดับที่ 17 ของรุ่น (ชีวิตนักวิ่งคว้าถ้วยมันเป็นอดีตไปหมดแล้วค่ะ)


สนามนี้เป็นสนามมินิมาราธอนในรอบหลายเดือน ปกติจะไม่ชอบลงสนามมินิ เพราะไม่สันทัดการวิ่งระยะสั้นและต้องทำเวลาดีให้ได้ รู้สึกว่ามันกดดันมาก แต่การวิ่งครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่า ฉันวิ่งได้เร็วขึ้นมาก ถ้าฟิตซ้อมดีๆ การวิ่ง 10 กม.ให้ต่ำกว่า 60 นาที (ให้ได้อีกครั้ง) ไม่ใช่เรื่องยากเลย pace วิ่งที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.4 ในช่วง กม.ที่ 7 และสามารถวิ่งประครอบตัวเองให้อยู่ใน pace 5-6 ได้เกือบตลอดเส้นทาง ถ้า..ไม่ถอดใจเดินซะก่อน และสนามนี้ก็ทำให้ค้นพบอีกเรื่องน่ายินดี ก็คืออาการบาดเจ็บที่บริเวณเข่าซ้ายที่มากังวลใจกว่า 7 สัปดาห์ดีขึ้นมาก เรียกว่าแทบจะไม่มีอาการเจ็บแล้ว ฉันกลับมาแล้ว :)

 
โพสต์ท่าเดิมทุกงานเลยแฮะ นอกจากซ้อมวิ่งต้องไปซ้อมท่าโพสต์ใหม่นะคะ

สรุปส่งท้าย งานนี้จัดได้ดีค่ะ สถานที่จัดงานไม่แออัด น้ำท่าไม่ขาด มีเกลือแร่ให้แม้จะเป็นระยะแค่ 10 กม. แม้จะมีปัญหาการจราจรบ้างในเส้นทางวิ่ง แต่ก็ดูจะกลายเป็นปัญหาที่ผู้จัดงานไหนๆก็เลี่ยงไม่ได้ เส้นทางวิ่งผ่านถนนเพชรบุรียังคงไม่ประทับใจเหมือนเคย เหม็นขยะ รถเยอะ สามารถวิ่งได้เลนส์เดียวแคบๆ ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ผู้จัดงานลองหาเส้นทางอื่นๆบ้าง ไม่ต้องใจกลางเมืองที่หลีกเลี่ยงการจราจรยากขนาดนี้

งานวิ่งครั้งนี้ยังเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนมากว่า กระแสการวิ่งในไทย บูมขึ้นอย่างจริงจังมาก บัตรวิ่งขายหมดเกลี้ยง จำนวนนักวิ่งก็เยอะขึ้นผิดหูผิดตาจริงๆ ส่วนตัวมองว่า เป็นนิมิตรหมายที่ดีนะคะ คงจะมีสักวัน ที่งานวิ่งในไทยมีโอกาสได้จัดแบบยิ่งใหญ่เหมือนระดับสากลบ้าง ถ้าคนเริ่มหันมาสนใจวิ่งกันมาขึ้นแบบนี้

เอนนี่เวย์..ฝากทิ้งท้ายเตือกสติตัวเองเอาไว้สักนิด อยู่ดีๆก็มานั่งคิดระลึกทบทวนตัวเองได้ว่า พักหลังมานี้ ทุกครั้งที่ไปลงสนามวิ่ง ฉันจะมีข้ออ้างต่างๆนานา มีเหตุผลล้านแปดว่าทำไมฉันทำไมได้ไม่ดี ประสิทธิภาพไม่เต็มร้อย เจ็บบ้างล่ะ ป่วยบ้างล่ะ ซึ่งไปๆมาๆ มันกลายเป็นเสียนิสัยไปแล้วว่า ก็ฉันทำไมไม่ดี เพราะฉันไม่เต็ม 100 นี่จ๊ะ ดังนั้น จากนี้ ไม่เอาแล้วนะคะนางขา ทุกสนาม จะต้องเต็ม 100 เลิกมีข้ออ้างออดอ้อนยอมให้ตัวเองวิ่งตามมีตามเกิด โอเคนะคะ ฉันจะต้องเป็นเด็กดี :)

2 comments:

  1. ขนาดไม่พร้อม ยังแซงผมเข้าเส้นเลย

    :)

    ReplyDelete
  2. มาติดตามอ่านเช่นเคย ขณะวิ่งผมก็คุยกับตัวเองแบบนี้เหมือนกัน เป็นช่วงเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเอง ท่ามกลางนักวิ่งหลากหลาย สนุกดีครับ

    ReplyDelete